All ABOUT T-A-R-N (T/L/B).

Tuesday, October 31, 2006

เรี่องราวน่ารู้เกี่ยวกับน้ำหอม


เราเชื่อกันว่านํ้าหอมนั้นเกิดขึ้นมานานแล้ว จากหลักฐานภาพวาดจิตรกรรม ฝาผนังตอนหนึ่งที่วิหารของพระราชินี Hatshepsut ที่เมือง Thebes ในประเทศ Egypt
ที่เป็นรูปของหญิงสาวชาวอิยิปต์โบราณกำลังโชลม นํ้าหอมลงบนศรีษะ ซึ่งได้แสดงให้เห็นว่ามีการใช้นํ้าหอม กันแล้วในยุคนั้น ซึ่งคาดว่านักเดินเรือชาวอิยิปต์ได้ไปนำมาจาก ดินแดนอื่น
นํ้าหอมในสมัยโบราณนั้นจะทำมาจากยางไม้หอม ซึ่งยางไม่หอมแบบนี้จะมีอยู่ที่ Arabia และ Somalia เท่านั้น คำว่า "Perfume" นี้มีรากศัพท์มาจากภาษา ละติน ที่แปลว่า "ควัน" ในกรีก (Greek) โบราณคนที่ทำนํ้าหอมนั้นจะเป็นผู้หญิง ซึ่งได้ปรับปรุง มรดกการทำนํ้าหอมที่ตกถอดมาจากชาวอียิปต์โบราณให้พัฒนาดีขึ้นไป ในช่วงเวลาของจักรวรรดิโรมัน (Roman) การทำนํ้าหอมเขาจะใช้ยางไม้หอม จากต้นไม้จำพวก Boswellia โดยสั่งนำเข้ามาจาก Arabia และได้บวกกับส่วนผสม ที่ได้มาจากทะเลจากประเทศอินเดียซึ่งเป็นส่วนผสมใหมที่ใส่ลงไปในการทำนํ้าหอม ของชาวโรมันในสมัยนั้น เศรษฐีชาวโรมันจะใช้นํ้าหอมตามความพอใจ ชนิดที่เรียกได้ว่าใช้แบบล้างผลาญ เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือ พวกเศรษฐีเหล่านี้จะเอานํ้าหอมไปพ่นและฉีดตามพื้นและกำแพง บ้านของตัวเอง และนอกจากนี้ยังนำนํ้าหมไปฉีดให้กับสัตว์เลี้ยงของบรรดาเศรษฐี อีกด้วยไม่ว่าจะเป็น สุนัข และ ม้า แต่ก้าวสำคัญในประวัติศสาตร์ของนํ้าหอม แล้วนั้นจะเกิดขึ้นในยุคกลาง (Middle ages) เมื่อชาวอาหรับ (Arabs) ได้คิดค้นพัฒนา เทคนิคในการกลั่นนํ้าหอมได้เป็นผลสำเร็จ พื้นที่ ขนาดใหญ่โตของอณาจักรเปอร์เซีย ได้ทำการ ปลูกดอกกุหลาบ เพื่อที่จะนำมาสกัดเป็นนํ้าหอม เนื้อที่ที่ใช้ปลูก ดอกกุหลาบนี้ใหญ่โตมหาศาล มาก จนถึงกับมี เรื่องเล่าขานกันว่า "กรุง Baghdad" (เมืองหลวงของประเทศอิรักในปัจจุบัน) ในสมัยนั้นได้สมญานาม ที่เรียกขานกันว่า "City of Fragrances" นอกจากนี้ชาวอาหรับยังได้ค้นพบ ส่วนผสมตัวใหม่ในการทำ นํ้าหอมอีกด้วยนั่นก็คือ สารที่ได้จากตัวชะมด หรือ กลิ่น ชะมดนั่นเอง ชาวอาหรับได้นำเจ้ากลิ่นชะมดนี้ไปผสมกับปูนขาว และพวกเขาก็นำ ปูนขาวที่ได้นี้ไปใช้สร้างสุเหร่า (Mosque) และพระราชวัง ซึ่งก็ทำให้ได้สุเหร่า และพระราชวังที่มีกลิ่นหอมไปทั่วทั้งเมือง และนี่คืออีกหนึ่งที่มาจากเรื่องเล่าถึงคำว่า "City of Fragrances" นั่นเอง ในช่วงสมัยของ Crusaders ได้นำเครื่องหอมจาก อาหรับไปให้ชาวยุโรปได้รู้จัก แต่สำหรับก้าวแรกของนํ้าหอม ในยุโรปนั้นเริ่มจริงๆก็ในศตรวรรษที่ 16 เมื่อ แคทเธอรีน เดอ เมคิชี่ (Catherine de Medici) มาที่ประเทศ Italy เพื่อที่จะแต่งงานกับอนาคตกษัตริย์ในช่วงนั้น จากนี้ไปนํ้าหอม ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในต้นศตรวรรษที่ 19 ได้มีนักเคมีได้ทำการสังเคราะห์นํ้าหอมจาก สารเคมีจนได้กลิ่น ต่างๆ มากมายหลายพันกลิ่น จนกระทั่งนํ้าหอมได้กระจายไปทั่ว จนเป็นอุตสาหกรรม ขนาดใหญ่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน

Monday, October 30, 2006

Royal Flora Ratchaphruek 2006 Mascots


Royal Flora Ratchaphruek has enlisted the help of its nine adorable mascots to help promote the event nationwide.

Team Leader Nong Khun and his companions have been on a tour around Thailand urging Thais to be proud hosts of Royal Flora Ratchaphruek 2006 — an impressive world-class international expo of tropical flora. During the expo, visitors from Thailand and all over the world will be treated to a dazzling spectacle of over 2.5 million tropical plants representing over 2,200 species.

While on his travels, Nong Khun is accompanied by Nong Kulap representing the Queen Sirikit Rose; Nari representing the Lady’s Slipper Orchid, paphiopedilum; Bua representing the lotus; Kan Yao, representing durian — ‘king’ of tropical fruits; Mangkhut representing mangosteen — ‘queen’ of tropical fruits; Fak Bua — the plant watering can — represents a boy who takes care of the plants; Chon, the Chinese radish; and Ta Thung, the scarecrow.

Wednesday, October 25, 2006

Flowers as symbols

Many flowers have important symbolic meanings in Western culture. The practice of assigning meanings to flowers is known as floriography. Some of the more common examples include:
Red
roses are given as a symbol of love, beauty, and passion.
Poppies are a symbol of consolation in time of death. In the UK, Australia and Canada, red poppies are worn to commemorate soldiers who have died in times of war.
Irises/Lily are used in burials as a symbol referring to "resurrection/life". It is also associated with stars (sun) and its petals blooming/shining.
Daisies are a symbol of innocence.
Flowers within art are also representative of the female genitalia, as seen in the works of artists such as Georgia O'Keefe, Imogen Cunningham, Veronica Ruiz de Velasco, and Judy Chicago, and in fact in Asian and western classical art.

Friday, October 13, 2006

(เก็บมาฝาก)เทคนิคการเตรียมสอบดีๆจากรุ่นพี่

พอดีเราเปิดไปเจอมาเลยนำมาฝากหวังว่าหลายคนถ้าอ่านแล้วคงจะมีกำลังใจที่ดีเหมือนเรานะ
พี่ขอ List เป็นข้อๆ ดังนี้ครับ
1. น้องต้องหาหนังสือมาอ่านครับ จะสอบผ่าน จะทำเกรดให้ได้ ก็ต้องอ่านหนังสือ ไม่มีวิธีการเตรียมตัววิธีใดดีกว่าการอ่านหนังสือ อ่าน อ่าน อ่าน ให้มาก จะอ่านยังไงให้เข้าใจ
2. อ่านแล้วต้อง จด จด จด โน๊ตไว้ด้วยครับ เพื่อว่าวันหลังจะได้ไม่ต้องมาเปิดหนังสืออีก จดโน๊ตย่อเอาไว้ อ่านวันหลัง เก็บเป็นโน๊ตรวบรวมเอาไว้ จะได้เป็นสมบัติของตัวเอง
3. ทำข้อสอบเก่าๆ ไว้บ้าง ข้อสอบ Admission ทั้ง A-net และ O-net พี่ว่าไม่แตกต่างไปจากข้อสอบ Ent มากนักหรอก ลองเอาข้อสอบEnt ย้อนหลังสัก 5 พ.ศ. มาลองทำดู ก็จะได้แนวข้อสอบเอง ไม่ยากหรอกครับ ค่อยๆ ทำจากข้อง่ายไปยาก เปิดดูเฉลยก็ได้ ไม่มีใครว่าหรอกค่อยๆเรียนรู้จากข้อสอบเก่าไปเรื่อยๆ จะทำให้เรามั่นใจเองครับ
4. ให้กำลังใจตัวเอง และลงมือทำอย่างมุ่งมั่น กำลังใจสำคัญมาก ถามว่าจะได้รับจากใคร ไม่มีหรอกครับ กำลังใจจากตัวเองนั่นแหละสำคัญที่สุด ให้รางวัลกับตัวเองบ้างเมื่ออ่านไปได้สักบท ก็พักบ้าง ที่สำคัญคือ กำลังใจจะทำให้เราเกิดความมุ่งมั่น ทำต่อไปอย่างไม่มีวันเลิกแล้วจะรู้สึกสนุกในการทำ เหมือนกับคนที่ชอบออกกำลังกาย ถ้าวันไหนไม่ได้ออกก็จะรู้สึกหงุดหงิด อยากจะบอกว่า ข้อสุดท้าย สำคัญมากกว่าทุกข้อ ถ้าไม่มีกำลังใจ ไม่ลงมือทำ ไม่ทำด้วยตัวเอง อ้างโน่นอ้างนี่ ข้อ 1 - 3 ก็จะไม่เกิดอย่างแน่นอนสุดท้ายจริงๆ อยากให้นึกภาพวันที่คุณพ่อคุณแม่จะภาคภูมิใจมากที่สุดในชีวิต คือวันที่ลูกได้รับปริญญาครับ วันที่น้องได้ถ่ายรูปร่วมกับคุณพ่อคุณแม่และทุกคนในครอบครัว วันนั้นคือวันที่คุณพ่อคุณแม่หายเหนื่อย และมีความสุขที่สุด

Friday, October 06, 2006

วันออกพรรษา


วันออกพรรษา คือวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการอยู่ประจำที่ในฤดูฝนซึ่งตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ วันออกพรรษานี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "วันมหาปวารณา" คำว่า"ปวารณา"แปลว่า "อนุญาต" หรือ "ยอมให้" คือ เป็นวันที่เปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกัน ว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ในข้อที่ผิดพลั้งล่วงเกินระหว่างที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน ในวันออกพรรษานี้กิจที่ชาวบ้านมักจะกระทำก็คือ การบำเพ็ญกุศล เช่น ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูป เทียน ไปบูชาพระที่วัด และฟังพระธรรมเทศนา ของที่ชาวพุทธนิยมนำไปใส่บาตรในวันนี้ก็คือ ข้าวต้ม มัดไต้ และข้าวต้มลูกโยน และการร่วมกุศลกรรมการ "ตักบาตรเทโว" คำว่า "เทโว" ย่อมาจาก"เทโวโรหน" แปลว่าการเสด็จจากเทวโลกการตักบาตรเทโว จึงเป็นการระลึกถึงวันที่ พระพุทธองค์เสด็จกลับจากการโปรด พระพุทธมารดาในเทวโลก ประเพณีการทำบุญกุศล เนื่องในวันออกพรรษานี้ ทุกวัดในประเทศไทย ก็มีพิธีเหมือนกันหมด จะผิดกันก็เพียงแต่สถานที่ ที่สมมติว่าเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เท่านั้น

Monday, October 02, 2006

history of the rose

The rose has always been valued for its beauty and fragrance and has a long history of symbolism and meaning. The ancient Greeks and Romans identified the rose with their goddesses of love (Aphrodite and Venus). In Rome a wild rose would be placed on the door of a room where confidential matters were discussed. The phrase sub rosa, or "under the rose", means to keep a secret—derived from this ancient Roman practice.
Early Christians identified the five petals of the rose with the five wounds of Christ. Despite this interpretation, their leaders were hesitant to adopt it because of its association with Roman excesses and pagan ritual. The red rose was eventually adopted as a symbol of the blood of the Christian martyrs. Roses also later came to be associated with the Virgin Mary.
Rose culture came into its own in Europe in the 1800's with the introduction of perpetual blooming roses from China. There are currently thousands of varieties of roses developed for bloom shape, size, fragrance and even for lack of thorns.